หากคุณมีบ้านหรือคอนโด ที่ซื้อไว้แล้ว แต่ไม่ได้เข้าอยู่ จะปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ก็เสียดาย เลยอยากหัน มาลองทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ดู แต่ก็ยังไม่มีความชำนาญ ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน อย่างที่เห็นคนอื่นเค้าปล่อยเช่าบ้าน หรือคอนโดกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่บางคน ก็ถึงขั้นส่ายหัว ว่าเก็บเอาไว้เฉยๆดีกว่า ทำให้เริ่มรู้สึกสับสนว่า ตกลงยังไงกันแน่ ควรที่จะปล่อยเช่า ดีหรือเปล่า
วันนี้ fairycondo จะพาทุกคนที่มีบ้านและคอนโดอยู่แล้ว มาแปลงทรัพย์นั้นให้เป็นเงินโดยเราจะมาสอนตั้งแต่เริ่มแรก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำ นั่นก็คือ สัญญาเช่าบ้าน อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องบอกเลยว่า สิ่งนี้จะช่วยปกป้องบ้านและคอนโดของคุณให้ปลอดภัย และเป็นตัวช่วยได้เยอะมากในการการคัดกรองคนที่จะเข้ามาเป็นผู้เช่าได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สัญญา เช่าคอนโด หรือ หนังสือสัญญาเช่า บ้าน ก็ตาม พวกเราจะมาสอนให้คุณทำสัญญานั้นให้ออกมาดั่งมืออาชีพ และรัดกุมสุดๆ
อันดับแรก เราจะต้องรู้ข้อกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันนี้ ได้มีกฎหมายการให้เช่าออกมาเพื่อช่วยเหลือผู้เช่าตาม สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ ตั้งแต่พ.ศ.2561ซึ่งเราจะเขียนสัญญา โดยอิงตามหลักกฎหมายใหม่นี้ด้วย โดยเราจะคำนึงเนื้อหาที่จะเขียน เป็น3 ช่วง นั่นก็คือ ก่อนผู้เช่าเข้าอยู่ ,ระหว่างผู้เช่าเข้าอยู่ และหลังผู้เช่าย้ายออก ว่าจะมีอะไรบ้าง เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ และง่ายต่อการเขียนให้รัดกุมยิ่งขึ้น
เมื่อเราเห็นแล้วว่า มีช่วงไหนบ้าง เราก็จะเริ่มเขียนสัญญาให้ครบถ้วนตามช่วงต่างๆโดยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
1. ไม่ว่าจะเป็นใครที่ต้องการเข้ามาเช่า แม้แต่จะเป็นเพื่อนมาขอเช่า เราที่เป็นผู้ให้เช่า ก็ต้องลงมือเซ็นเอกสาร สัญญาเช่า นี้ด้วยกันเสมอ ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการปล่อยเช่าเลยทีเดียว เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
2. เราต้องทำสัญญาโดย ระบุชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลทั้งผู้เช่า และผู้ให้เช่าให้ครบถ้วน โดยเขียนข้อมูลให้ละเอียด ตั้งแต่ วันที่เริ่มทำสัญญา สถานที่ให้เช่าคือที่ไหน ต้องระบุให้ชัดเจนลงในสัญญาเช่า และต้องให้ทั้งสองฝ่าย ลงนามเพื่อเซ็นรับทราบในสัญญานี้ทั้งคู่ โดยทำเก็บไว้ สองฉบับ และเซ็นทั้งสองฉบับ
3. กำหนดในเอกสารให้ชัดเจน ตั้งแต่ ค่าประกันเท่าไหร่ ในกรณีที่ผู้เช่าออก หากผู้เช่าไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันใน 7 วันด้วย ซึ่งต้องระบุข้อมูลตรงนี้ด้วย, ค่าเช่าล่วงหน้ากฎหมายได้กำหนดให้เก็บได้ไม่เกิน 1เดือน, ค่าเช่าต่อเดือนกำหนดไว้เท่าไหร่ต่อเดือน ระบุให้ครบถ้วน, รวมไปถึงต้องเขียนให้ชัดเจน ว่ากำหนดวันที่ต้องจ่ายค่าเช่าในแต่ละเดือน เป็นวันที่เท่าไหร่ สามารถจ่ายได้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงวันที่เท่าไหร่, หากล่าช้าหลังจากวันที่กำหนด จะถือว่ายอมให้ปรับ ที่จ่ายค่าเช่าล่าช้าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้สำคัญควรคุยกับผู้เช่าด้วยเรื่องค่าปรับ เพื่อตกลงกันในส่วนนี้ด้วย จำเป็นต้องมี เพื่อป้องกันการจ่ายล่าช้า
4. ในกรณีที่เป็น คอนโดส่วนมากมักจะปล่อยห้องพร้อมเฟอร์นิเจอร์ใน สัญญาเช่าคอนโด ควรมีเอกสารแนบท้ายในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ ว่ามีอะไรบ้าง ยิ่งเป็นลิสต์รายการพร้อมรูปยิ่งดี และควรระบุราคาของเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นลงไปด้วยเพื่อให้รัดกุม และเพื่อให้ผู้เช่าใช้ของในห้องอย่างระมัดระวัง ทำให้เกิดความเสียหายน้อยลง
5. ใน หนังสือสัญญาเช่า นั้น เราควรระบุให้ชัดเจนไปเลย ว่าผู้เช่า เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมของในห้อง หากคุณไม่ได้ระบุไว้ นั่นจะทำให้สัญญามีความหมายว่า เจ้าของห้องเป็นผู้ซ่อม และในส่วนของกรณีภัยพิบัติ อันเกิดจาก น้ำท่วม ไฟไหม้ หรือแผ่นดินไหว เราก็ระบุลงไปด้วย ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ หากผู้ให้เช่ามีประกันอยู่แล้ว อาจจะระบุว่าผู้ให้เช่าเป็นผู้รับผิดชอบตรงส่วนนี้ได้ เพื่อให้ผู้เช่าอุ่นใจ เมื่อเกิดกรณีภัยพิบัติ เค้าก็ยังต้องการที่จะอยู่อาศัยต่อไปเพราะมีประกันมาแก้ไขในส่วนนี้
6. สิ่งที่สำคัญที่สุด ควรระบุลงไปเพื่อป้องกันตัวเองจากกรณีผู้เช่าทำผิดกฎหมาย เราควรระบุลงไปในสัญญาให้ชัดเจน ไม่ให้ผู้เช่าทำสิ่งผิดกฎหมายใดๆ หากพบเจอ ถือว่าสัญญาเป็นอันสิ้นสุด เพื่อให้เรามีสิทธิ์ที่จะขับไล่ผู้เช่าได้ทันที
7. ควรระบุเพิ่มเติมลงไปในสัญญา ไม่อนุญาต ให้เช่าช่วงต่อ กรณีที่เจอผู้ให้เช่าหัวหมอต้องการที่จะปล่อยห้องต่อ ให้บุคคลอื่น โดยที่เราไม่รู้จัก และไม่ได้ทำสัญญาด้วย
8. เราควรระบุข้อมูลลงไปในสัญญาเพิ่มเติม หากกรณี ที่ทางผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญา หรือกรณีมีการผิดสัญญา หรือมีการระงับสัญญาแล้ว ถ้าหากผู้เช่ายังไม่ยอมออก จะให้ผู้ให้เช่ามีสิทธิอะไรบ้าง เช่น ล็อคประตู, ยกของออกได้โดยทันที
9. ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่างที่ผู้เช่าอยู่ ควรระบุลงไปในสัญญาด้วย เช่น ค่าส่วนกลางคอนโด, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเตอร์เน็ต, ค่าภาษี ใครเป็นผู้จ่าย อีกทั้ง การสูบบุหรี่, การเลี้ยงสัตว์, การต่อเติมห้อง สามารถทำได้หรือไม่ หรือต้องมีการขออนุญาตผู้ให้เช่าก่อนทุกครั้ง เมื่อตกลงกันได้ก็ระบุลงไปในสัญญาให้ครบถ้วน
10. ข้อสุดท้ายนี้ ต้องให้ผู้เช่า และผู้ให้เช่าทั้งสองฝ่ายลงลายมือชื่อไว้ทั้งสองฉบับ และเก็บเอาไว้คนละชุด อีกทั้งการออกบิลรับเงิน ว่าผู้ให้เช่าได้รับเงินค่าประกันจำนวนเท่าไหร่ ล่วงหน้าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ที่สำคัญนั้น อย่าลืมขอเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เช่าเก็บเอาไว้ด้วย เพื่อให้สัญญาครบถ้วน ข้อมูลการติดต่อ และเบอร์โทรญาติ หรือผู้ที่ติดต่อได้ หากไม่สามารถติดต่อผู้เช่าได้
เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีโอกาสได้ผู้เช่าที่ดี ถ้าหากใครไม่ยอมเซ็นสัญญา หรือรับข้อตกลงในส่วนของ หนังสือสัญญาเช่า ไม่ได้ ก็แสดงว่าเค้ามีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายในการเช่าครั้งนี้ได้ หรืออาจจะไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้ามาเช่าอยู่ในบ้านหรือคอนโดของคุณ การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณได้เจอผู้เช่าที่ดี ที่ยอมรับข้อตกลงกันได้ทั้งสองฝ่าย และลดปัญหาที่ตามมา ได้เป็นอย่างดี ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของคุณเป็นไปได้ด้วยดี และรัดกุมอย่างที่สุด